เฉลยแบบฝึกหัด Reading/Piece of Information 6 ข้อ
1. ตอบ 4
2 .ตอบ2
3 .ตอบ3
4 .ตอบ1
5 .ตอบ2
6 .ตอบ2
วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554
12 เทคนิคการทำ "Error Identification"
เทคนิคการทำ "Error Identification"
ประเด็น ความผิดพลาดเรื่องรูปคำกริยา (verb form) อาจเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังต่อไปนี้
1. subject - verb agreement
2. tenses
3.finite or non-finite verb
4. ใช้ voice ผิด
5. ใช้คำกริยาผิดรูป เช่นใช้รูป v.2 แทน v.3 หรือในทางกลับกัน
Examples :
1. Evidence of this may be saw in the terrifying figures of family decomposition.
a b c d
คำตอบที่ถูกคือ ข้อ c ต้องแก้เป็น seen เพราะ v.be+v.3 หรือ v.ing
2. One Sunday morning, a minister was told congregation that their church was badly in need of repairs.
a b c d
คำตอบที่ถูกคือ ข้อ a ต้องแก้เป็น active verb คือ told
รูปคำ (word form) เป็นเรื่องที่ออกข้อสอบเป็นประจำอีกเรื่องหนึ่ง ความผิดพลาดทางไวยกรณ์ที่นำมาทดสอบ จะเป็นเรื่องการใช้ part of speech ผิดที่หรือผิดชนิด กล่าวคือ ใช้ adjective แทนที่ adverb, ใช้ noun แทนที่ verb เป็นต้น ซึ่งคำที่ถูกและคำที่ผิดนั้นจะมาจากรากศัพท์คำเดียวกัน ตัวอย่าง คำที่มาจากรากเดียวกันแต่ต่างกันที่ word form คือ beauty (n.), beautiful (adj.), beautifully (adv.). หรือ long (adj.), lengthen (v.), length(n.) หรือ compare (v.), comparable (adj.), comparison (n.) ฯลฯ
Example :
1. In a record dive in his bathysphere, William Beebe was the first person to explore the ocean at a deep of
a b c
3,028 feet.
d
คำตอบคือ ข้อ c ต้องแก้ word form จาก a deep (adj.) เป็น a depth (n.) เพราะคำที่ตามหลัง preposition (ในที่นี้คือ at )
ต้องเป็นคำนาม
2. Psychologists generally agreement that a certain stimulus must be present each time a habitual action is
a b c
carried out.
d
คำตอบคือ ข้อ a เพราะใน clause แรกนี้ยังขาดกริยา ดังนั้นจึงต้องแก้เป็น agree
*ตัวช่วยที่จะทำให้รู้ว่า choice แต่ละข้อเป็นคำชนิดใด ให้ดูที่
1. ตำแหน่งหรือหน้าที่ของคำๆนั้นในประโยค
2. ส่วนลงท้ายของคำ (suffix)
การเลือกใช้คำ (word choice) เป็นหัวข้อที่นิยมออกข้อสอบมากเรื่องหนึ่ง ประเด็นของความผิดพลาดเรื่องนี้ มักจะเป็นการใช้คำๆ
หนึ่งแทนที่จะใช้อีกคำหนึ่งซึ่งถูกไวยกรณ์
Example :
1. One of London’s most beautiful parks is Hyde Park nearly the Thames river.
a b c d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ d ต้องแก้เป็น near
2. Modern people, alike their ancestors, are curious about the nature of the universe.
a b c d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ b ต้องแก้เป็น like
3. In much of Alaska, the growing season is such short that crops cannot be raised.
a b c d
คำตอบคือ ข้อ c ต้องแก้เป็น so (so + adj. + that clause)
4. Even during economic booms, there is a small number of unemployment.
a b c d
ตอบ ข้อ d ต้องเปลี่ยน number เป็น amount เพราะใช้กับคำนามนับไม่ได้คือ unemployment
ประเด็นของความผิดพลาดทางไวยกรณ์ในเรื่อง Parallellism คือ ใช้คำผิดชนิดหรือโครงสร้าง จากสมาชิกอื่นๆในกลุ่มของมัน
Example:
1. Lumber from redwoods is in great demand because of its straight grain, attractive color, and durable.
a b c d
คำตอบที่ต้องการคือ ข้อ d ต้องแก้เป็น durability เนื่องจากคำในกลุ่มนี้เป็นคำนามทั้งหมด
2. The best work is not always done by those who work the faster.
a b c d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ d ต้องแก้เป็น fastest สังเกตคำที่มาข้างหน้าคือ the best (the นำหน้าการเปรียบเทียบขั้นที่สุด)
3. Direct mail advertising serves to acquaint customers with product, alert them to new opportunities, and
a b
paving the way for other sales activities.
c d
คำตอบคือ ข้อ c เพราะใช้คำผิดโครงสร้างจากสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งเป็น infinite ทั้งหมด (to acquaint และ alert) สังเกตดูคำ alert
เป็น simple form ดังนั้นถ้าจะแก้ให้ถูกต้อง ต้องแก้ paving เป็น pave ซึ่งอยู่ในรูป simple form เช่นเดียวกัน
ตัวเลือกที่ถูกต้อง ซึ่งแสดงความผิดพลาดในเรื่องของ conjunction อาจมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ใช้ correlative ผิดคู่ เช่น not only ……. But, both …….and, neither……nor, either …….or เป็นต้น
2. ใช้ conjunction ผิดตัว เช่น ใช้ who ในที่ที่ควรใช้ which, ใช้ and เชื่อมข้อความที่มีความหมายขัดแย้งกันม ใช้ but กับข้อความ
ที่คล้อยตามกัน เป็นต้น
3. ใช้ preposition เช่น ใช้ during ในที่ที่ควรใช้ when, ใช้ because of แทน because เป็นต้น
Examples:
1. In all this, both the United States, on one side, or Soviet Russia, on the other are deeply involved.
a b c d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ c ต้องแก้เป็น and เพราะตัวข้างหน้า คือ both
2. Making sequences of symbols that are not significant but rigolously logical is far more difficult with it sounds.
a b c d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ d ต้องแก้ preposition with เป็น conjunction than ซึ่งแสดงการเปรียบเทียบขั้นกว่า
ในภาษาอังกฤษ พจน์ (number) หมายถึง จำนวนนับซึ่งแสดงออกที่คำกริยาและคำนาม ในรูปของเอกพจน์และพหูพจน์ โดยทั่วไป
ใช้การเติม s หรือไม่เติม s ท้ายคำ ในที่นี้กล่าวถึง พจน์ของคำนาม เท่านั้น
ในข้อสอบประเภท Error Identification ตัวเลือกที่ถูกต้องซึ่งมีความผิดพลาดทางไวยกรณ์ อาจมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ใช้นามรูปเอกพจน์หลังคำต่อไปนี้คือ a couple (of), (a) few, a number of, both, many, several, each of, one of, all (กับ
นามนับได้), some (กับนามนับไม่ได้), these, those, etc. (นั่นแสดงว่าหลังคำที่กล่าวมาต้องใช้รูปพหูพจน์ จึงจะถูก)
2. ใช้นามพหูพจน์หลังคำต่อไปนี้ คือ a, an, amount of, ZaX litt;e, a single, each, every, much, one, this, that, etc. (นั่น
แสดงว่าหลังคำที่กล่าวมาต้องใช้รูปเอกพจน์จึงจะถูกต้อง)
3. นามนับไม่ได้ นามที่มีแต่รูปเอกพจน์ หรือนามที่มีรูปพหูพจน์พิเศษ นำมาเติม s เพื่อแสดงพหูพจน์ เช่น informations, furniture,
golds, deers, teeths, childs, etc. (ต้องแก้โดยการ ตัด s ทิ้งทุกคำ และเปลี่ยน childs เป็น children)
4. ใช้รูปพหูพจน์ของนามประสม (compound noun) แบบผิดๆ เช่น detectives stories, toys stores, car races, three two-
months courses, etc. (แนวคิดที่ถูกคือ คำนามตัวแรกทำหน้าที่ adjective จึงไม่มีรูปพหูพจน์อีกต่อไป เพราะไม่ใช่คำนาม ดังนั้นใน
กรณีนี้เราต้องใช้รูปเอกพจน์กับนามตัวแรกทั้งหมด ดังนี้ detective stories, toy stores, car races, three two-month
courses)
5. ใช้คำบอกจำนวนที่ควรเป็นพหูพจน์ในรูปเอกพจน์ เช่น hundred of, thousand of, million of (แนวคิดที่ถูกต้องในเรื่องนี้คือ คำบอก
จำนวนที่ตามด้วย of จะเป็นคำนามพหูพจน์เสมอ ดังนั้นต้องแก้คำบอกจำนวนที่กล่าวมาเป็น hundreds of, thousands of, millions
of ส่วนคำบอกจำนวนที่ไม่ได้ตามด้วย of จะเป็น adjective จึงไม่มีรูปพหูพจน์เด็ดขาด เช่น three thousand men สังเกตมห้ดีจะ
เห็นว่า thousand ไม่ตามด้วย of จึงไม่มีการเติม s)
Examples :
1. At one time many person believed that some forked twigs had supernatural powers.
a b c d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ b หลังคำ many ตามด้วยนามพหูพจน์ จึงต้องแก้เป็น persons
2. Hundred of antibiotics have been developed, but only about 30 are in common use today.
a b c d
คำตอบที่ถูกคือ ข้อ a ต้องแก้เป็น Hundreds
3. Doctor are discovering that there is a strong psychological component to chronic pain.
a b c d
คำตอบที่ถูกคือ ข้อ a ต้องแก้เป็น Doctors สังเกตกริยาเป็นพหูพจน์คือ are
ประเด็นเรื่อง ความผิดพลาดในการใช้ pronoun อาจมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ความไม่สอดคล้องกันของคำนามและสรรพนาม (จากทฤษฎี pronoun จะต้องมีคุณสมบัติเหมือน noun ที่อ้างถึงทุกประการ ถ้า
noun เป็นเพศหญิง pronoun หรือ possessive adjective ที่แทนก็ต้องแสดงเพศหญิง ถ้าnoun เป็นเพศชาย pronoun หรือ
possessive adjective ที่แทนก้ต้องเป็นเพศชาย เป็นต้น)
3. ใช้ pronoun โดยไม่จำเป็น กล่าวคือมีประธานอยู่แล้วยังใช้ pronoun เป็นประธานซ้ำซ้อนอีก
Examples :
1. Charlie, whom went out with Mr. Lee’s daughter last night, was the only heir of the millionaire.
a b c d
ตอบข้อ a ต้องเปลี่ยน whom เป็น who เพราะสิ่งที่จามมาคือกริยา went ดังนั้นจึงต้องใช้ relative pronoun รูปประธาน
2. Almost all the reserved water which was used during the summer.
a b c d
ตอบข้อ c ต้องตัด relative pronoun which ทิ้งไป เพราะประโยคนี้มีประธานอยู่แล้ว คือ the reserved water
3. The teacher was justly annoyed by him walking in late and disturbing the class.
a b c d
คำตอบที่ถูกคือ ข้อ b ต้องแก้เป็น his (adj.) เพื่อขยายคำนาม walking
Example :
1. In a record dive in his bathysphere, William Beebe was the first person to explore the ocean at a deep of
a b c
3,028 feet.
d
คำตอบคือ ข้อ c ต้องแก้ word form จาก a deep (adj.) เป็น a depth (n.) เพราะคำที่ตามหลัง preposition (ในที่นี้คือ at )
ต้องเป็นคำนาม
2. Psychologists generally agreement that a certain stimulus must be present each time a habitual action is
a b c
carried out.
d
คำตอบคือ ข้อ a เพราะใน clause แรกนี้ยังขาดกริยา ดังนั้นจึงต้องแก้เป็น agree
*ตัวช่วยที่จะทำให้รู้ว่า choice แต่ละข้อเป็นคำชนิดใด ให้ดูที่
1. ตำแหน่งหรือหน้าที่ของคำๆนั้นในประโยค
2. ส่วนลงท้ายของคำ (suffix)
หนึ่งแทนที่จะใช้อีกคำหนึ่งซึ่งถูกไวยกรณ์
Example :
1. One of London’s most beautiful parks is Hyde Park nearly the Thames river.
a b c d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ d ต้องแก้เป็น near
2. Modern people, alike their ancestors, are curious about the nature of the universe.
a b c d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ b ต้องแก้เป็น like
3. In much of Alaska, the growing season is such short that crops cannot be raised.
a b c d
คำตอบคือ ข้อ c ต้องแก้เป็น so (so + adj. + that clause)
4. Even during economic booms, there is a small number of unemployment.
a b c d
ตอบ ข้อ d ต้องเปลี่ยน number เป็น amount เพราะใช้กับคำนามนับไม่ได้คือ unemployment
ประเด็นของความผิดพลาดทางไวยกรณ์ในเรื่อง Parallellism คือ ใช้คำผิดชนิดหรือโครงสร้าง จากสมาชิกอื่นๆในกลุ่มของมัน
Example:
1. Lumber from redwoods is in great demand because of its straight grain, attractive color, and durable.
a b c d
คำตอบที่ต้องการคือ ข้อ d ต้องแก้เป็น durability เนื่องจากคำในกลุ่มนี้เป็นคำนามทั้งหมด
2. The best work is not always done by those who work the faster.
a b c d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ d ต้องแก้เป็น fastest สังเกตคำที่มาข้างหน้าคือ the best (the นำหน้าการเปรียบเทียบขั้นที่สุด)
3. Direct mail advertising serves to acquaint customers with product, alert them to new opportunities, and
a b
paving the way for other sales activities.
c d
คำตอบคือ ข้อ c เพราะใช้คำผิดโครงสร้างจากสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งเป็น infinite ทั้งหมด (to acquaint และ alert) สังเกตดูคำ alert
เป็น simple form ดังนั้นถ้าจะแก้ให้ถูกต้อง ต้องแก้ paving เป็น pave ซึ่งอยู่ในรูป simple form เช่นเดียวกัน
ตัวเลือกที่ถูกต้อง ซึ่งแสดงความผิดพลาดในเรื่องของ conjunction อาจมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ใช้ correlative ผิดคู่ เช่น not only ……. But, both …….and, neither……nor, either …….or เป็นต้น
2. ใช้ conjunction ผิดตัว เช่น ใช้ who ในที่ที่ควรใช้ which, ใช้ and เชื่อมข้อความที่มีความหมายขัดแย้งกันม ใช้ but กับข้อความ
ที่คล้อยตามกัน เป็นต้น
3. ใช้ preposition เช่น ใช้ during ในที่ที่ควรใช้ when, ใช้ because of แทน because เป็นต้น
Examples:
1. In all this, both the United States, on one side, or Soviet Russia, on the other are deeply involved.
a b c d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ c ต้องแก้เป็น and เพราะตัวข้างหน้า คือ both
2. Making sequences of symbols that are not significant but rigolously logical is far more difficult with it sounds.
a b c d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ d ต้องแก้ preposition with เป็น conjunction than ซึ่งแสดงการเปรียบเทียบขั้นกว่า
ในภาษาอังกฤษ พจน์ (number) หมายถึง จำนวนนับซึ่งแสดงออกที่คำกริยาและคำนาม ในรูปของเอกพจน์และพหูพจน์ โดยทั่วไป
ใช้การเติม s หรือไม่เติม s ท้ายคำ ในที่นี้กล่าวถึง พจน์ของคำนาม เท่านั้น
ในข้อสอบประเภท Error Identification ตัวเลือกที่ถูกต้องซึ่งมีความผิดพลาดทางไวยกรณ์ อาจมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ใช้นามรูปเอกพจน์หลังคำต่อไปนี้คือ a couple (of), (a) few, a number of, both, many, several, each of, one of, all (กับ
นามนับได้), some (กับนามนับไม่ได้), these, those, etc. (นั่นแสดงว่าหลังคำที่กล่าวมาต้องใช้รูปพหูพจน์ จึงจะถูก)
2. ใช้นามพหูพจน์หลังคำต่อไปนี้ คือ a, an, amount of, ZaX litt;e, a single, each, every, much, one, this, that, etc. (นั่น
แสดงว่าหลังคำที่กล่าวมาต้องใช้รูปเอกพจน์จึงจะถูกต้อง)
3. นามนับไม่ได้ นามที่มีแต่รูปเอกพจน์ หรือนามที่มีรูปพหูพจน์พิเศษ นำมาเติม s เพื่อแสดงพหูพจน์ เช่น informations, furniture,
golds, deers, teeths, childs, etc. (ต้องแก้โดยการ ตัด s ทิ้งทุกคำ และเปลี่ยน childs เป็น children)
4. ใช้รูปพหูพจน์ของนามประสม (compound noun) แบบผิดๆ เช่น detectives stories, toys stores, car races, three two-
months courses, etc. (แนวคิดที่ถูกคือ คำนามตัวแรกทำหน้าที่ adjective จึงไม่มีรูปพหูพจน์อีกต่อไป เพราะไม่ใช่คำนาม ดังนั้นใน
กรณีนี้เราต้องใช้รูปเอกพจน์กับนามตัวแรกทั้งหมด ดังนี้ detective stories, toy stores, car races, three two-month
courses)
5. ใช้คำบอกจำนวนที่ควรเป็นพหูพจน์ในรูปเอกพจน์ เช่น hundred of, thousand of, million of (แนวคิดที่ถูกต้องในเรื่องนี้คือ คำบอก
จำนวนที่ตามด้วย of จะเป็นคำนามพหูพจน์เสมอ ดังนั้นต้องแก้คำบอกจำนวนที่กล่าวมาเป็น hundreds of, thousands of, millions
of ส่วนคำบอกจำนวนที่ไม่ได้ตามด้วย of จะเป็น adjective จึงไม่มีรูปพหูพจน์เด็ดขาด เช่น three thousand men สังเกตมห้ดีจะ
เห็นว่า thousand ไม่ตามด้วย of จึงไม่มีการเติม s)
Examples :
1. At one time many person believed that some forked twigs had supernatural powers.
a b c d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ b หลังคำ many ตามด้วยนามพหูพจน์ จึงต้องแก้เป็น persons
2. Hundred of antibiotics have been developed, but only about 30 are in common use today.
a b c d
คำตอบที่ถูกคือ ข้อ a ต้องแก้เป็น Hundreds
3. Doctor are discovering that there is a strong psychological component to chronic pain.
a b c d
คำตอบที่ถูกคือ ข้อ a ต้องแก้เป็น Doctors สังเกตกริยาเป็นพหูพจน์คือ are
เทคนิคการทำ "Error Identification"
ประเด็นเรื่อง ความผิดพลาดในการใช้ pronoun อาจมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ความไม่สอดคล้องกันของคำนามและสรรพนาม (จากทฤษฎี pronoun จะต้องมีคุณสมบัติเหมือน noun ที่อ้างถึงทุกประการ ถ้า
noun เป็นเพศหญิง pronoun หรือ possessive adjective ที่แทนก็ต้องแสดงเพศหญิง ถ้าnoun เป็นเพศชาย pronoun หรือ
possessive adjective ที่แทนก้ต้องเป็นเพศชาย เป็นต้น)
The girl has lost his keys in the pub. (แก้ his เป็น her)
Those men planned to start his project on Monday. (แก้ his เป็น their)
2. ใช้รูป pronoun ผิดหน้าที่ กล่าวคือ ใช้รูปประธานแทนรูปกรรม เช่น ใช้ she แทน her, whom แทน who หรือใช้ possessive
pronoun theirs แทนที่จะใช้ possessive adjective their หรือในทางกลับกัน
3. ใช้ pronoun โดยไม่จำเป็น กล่าวคือมีประธานอยู่แล้วยังใช้ pronoun เป็นประธานซ้ำซ้อนอีก
Examples :
1. Charlie, whom went out with Mr. Lee’s daughter last night, was the only heir of the millionaire.
a b c d
ตอบข้อ a ต้องเปลี่ยน whom เป็น who เพราะสิ่งที่จามมาคือกริยา went ดังนั้นจึงต้องใช้ relative pronoun รูปประธาน
2. Almost all the reserved water which was used during the summer.
a b c d
ตอบข้อ c ต้องตัด relative pronoun which ทิ้งไป เพราะประโยคนี้มีประธานอยู่แล้ว คือ the reserved water
3. The teacher was justly annoyed by him walking in late and disturbing the class.
a b c d
คำตอบที่ถูกคือ ข้อ b ต้องแก้เป็น his (adj.) เพื่อขยายคำนาม walking
เทคนิคการทำ "Error Identification"
ตัวเลือกที่ถูกต้อง ซึ่งแสดงความผิดพลาดในเรื่องของ comparison อาจมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ใช้รูปเปรียบเทียบขั้นกว่า (comparative) แทนขั้นที่สุด (superlative) หรือในทางกลับกัน
2. ใช้รูปเปรียบเทียบที่ผิดกฎ
Examples :
1. When salmon in Washington State’s Puget Sound region swim upriver to spawn, the Skagit River hosts the
a b c
bigger of all the runs.
d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ d ต้องแก้เป็น biggest เพราะมี the นำหน้าและ of all the runs แสดงการเปรียบเทียบที่เกกินจำนวนสอง
นั่นคือการเปรียบเทียบขั้นที่สุด
2. Hydrocarbon, too well as many other organic compounds, frequently form polymers.
a b c d
คำตอบที่ถูกต้องคือข้อ a ต้องแก้เป็น as ตามกฎระเบียบเปรียบเทียบที่เท่ากันใช้รูป as + adjective หรือ adverb + as
3. Natural mica of a superior quality is cheapest to obtain than synthetic mica.
a b c d
จะเห็นคำว่า than อยู่ในประโยคนี้ ดังนั้นต้องมีการเปรียบเทียบขั้นกว่าแน่นอน ฉะนั้นข้อ c จึงใช้ไวยกรณ์ผิดพลาด ควรแก้เป็น
cheaper
สำหรับข้อสอบ Error Identification ที่เช็คไวยกรณ์เรื่อง article นั้น ตัวเลือกที่มีความผิดพลาดทางไวยกรณ์ อาจมีลักษณะใด
ลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ใช้ article a หน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียงสระ เช่น a hour, a heir, a aunt, etc. (ต้องแก้เป็น an ทั้งหมด)
2. ใช้ article an นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียงพยัญชนะ เช่น an university, an unanimous decision, an human, etc. (ต้องแก้เป็น
a ทั้งหมด)
3. ใช้ article ผิดชนิด กล่าวคือใช้ indefinite article (a,an) แทน definite article (the) หรือในทางกลับกัน
4. ใช้ article ในปริบทที่ไม่ควรใช้ หรือในที่ที่ควรใช้แต่ไม่ใช้ เช่น
Humans need the water. (ตัด the ทิ้ง เพราะกล่าวถึงนามนับไม่ได้ที่ไม่ชี้เฉพาะ ไม่ต้องมี article นำหน้า)
She likes to play violin. (ต้องใส่ the หน้าชื่อเครื่องดนตรี จึงต้องแก้เป็น the violin)
Eamples :
1. Longevity refers to the span of life of a organism.
a b c d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ d ถ้าจะให้ถูกไวยกรณ์ต้องแก้เป็น an เพื่อนำหน้าคำนามเสียงสระคือ organism
2. At end of the Civil War, the United State was ready to resume with a roaring surge the westward expansion
a b c
which had been interrupted for four years.
d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ a ต้องแก้เป็น At the end เพราะเป็นการชี้เฉพาะ
ประเด็นของ ความผิดพลาดเรื่องกริยาไม่แท้ (verbal or non-finite verb) อาจเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งดังต่อไปนี้
1. ใช้ infinite แทนที่จะใช้ gerund หรือในทางกลับกัน
2. ใช้ present participle (v.-ing) แทนที่จะใช้ past participle (v.3) หรือในทางกลับกัน
3. ใช้รูป verbal แบบผิดๆ เช่น to introducing, to walking
4. ใช้ infinite หรือ gerund หลังคำกริยา (can, may, must, will. Etc.) เช่น can to go
Examples :
1. People complain that the costs of campaigning are so high that only the rich can afford running for office.
a b c d
หลัง v. afford ต้องตามด้วย infinite ดังนั้นคำตอบคือ ข้อ d ซึ่งต้องแก้เป็น to run
2. The Bachelor Club, establishing in 1950, was the first sports center for French bachelors in Florida.
a b c d
คำตอบคือ ข้อ a ต้องแก้เป็น established (v.3)
NOTE :
1. Verbal ที่ตามหลัง preposition ต้องเป็น gerund (v-ing) เช่น without smiling
2. กรณี กริยาต้องการกรรม (transitive verb) มีรูป participle ให้เลือก 2 รูป จะใช้รูป present participle (v-ing) หรือ past
participle (v.3) ให้ดูคำที่ตามมา
• ถ้าตามด้วย by หรือ prepositional phrase จะใช้ v.3 เช่น the bridge built by …….. established in 1950, etc.
• ถ้าตามด้วย noun จะใช้ v-ing เช่น building the house
ประเด็นของความผิดพลาดที่ใช้ทดสอบเรื่อง preposition อาจมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ใส่ preposition เข้าไปในตำแหน่งที่ไม่ควรจะมี หรือ ตัด preposition ทิ้งในตำแหน่งที่ควรจะมี
2. ใช้ preposition ผิดตัว
Examples :
1. Einstein provides us, according to experts in physics, with insights about the universe.
a b c d
คำตอบที่ถูกคือ ข้อ d ต้องแก้เป็น into (insight + into)
2. Candles were mankind’s chief source of illumination since at least 2,000 years.
a b c d
ข้อนี้ใช้ preposition ผิดตัว เราเห็นคำว่า 2,000 years แสดงระยะเวลา (period of time) ฉะนั้นต้องใช้ for แทน since ใน
choice ข้อ c
3. Some of the most of spectacular waterfalls in the easter United State are found in the Pocono Mountains of
a b c d
Pennsylvania.
ข้อนี้ใช้ preposition ในที่ที่ไม่ควรใช้ คือ ข้อ b ต้องตัด of ทิ้งไป เพราะในที่นี้ต้องการแสดงการเปรียบเทียบขั้นสูงสุด the most
spectacular
ลักษณะความผิดพลาดทางไวยกรณ์เรื่อง word order คือ มีคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป เรียงลำดับแบบสลับที่ผิดๆที่พบบ่อยๆใน
ข้อสอบมีดังนี้
Examples:
1. It estimated is that only about thirty percent of our planet’s surface consists of land.
a b c d
คำตอบคือ ข้อ a ซึ่งมีการเรียงลำดับคำผิด ต้องแก้เป็น is estimated
2. About two thousand years ago, Arabians in Persia began to craft clay pots, an innovation that accompanied
a b
the appearance of agriculture in the area central of the continent.
c d
คำตอบคือข้อ d ซึ่งมีการเรียงลำดับคำผิด ต้องแก้เป็น central area (adjective ต้องอยู่หน้า noun)
3. Plutonium is a rare extremely and precious element.
a b c d
คำตอบคือข้อ b ซึ่งมีการเรียงลำดับผิด ต้องแก้เป็น extremely rare (adverb ต้องอยู่หน้า adjective)
1. ใช้รูปเปรียบเทียบขั้นกว่า (comparative) แทนขั้นที่สุด (superlative) หรือในทางกลับกัน
2. ใช้รูปเปรียบเทียบที่ผิดกฎ
Examples :
1. When salmon in Washington State’s Puget Sound region swim upriver to spawn, the Skagit River hosts the
a b c
bigger of all the runs.
d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ d ต้องแก้เป็น biggest เพราะมี the นำหน้าและ of all the runs แสดงการเปรียบเทียบที่เกกินจำนวนสอง
นั่นคือการเปรียบเทียบขั้นที่สุด
2. Hydrocarbon, too well as many other organic compounds, frequently form polymers.
a b c d
คำตอบที่ถูกต้องคือข้อ a ต้องแก้เป็น as ตามกฎระเบียบเปรียบเทียบที่เท่ากันใช้รูป as + adjective หรือ adverb + as
3. Natural mica of a superior quality is cheapest to obtain than synthetic mica.
a b c d
จะเห็นคำว่า than อยู่ในประโยคนี้ ดังนั้นต้องมีการเปรียบเทียบขั้นกว่าแน่นอน ฉะนั้นข้อ c จึงใช้ไวยกรณ์ผิดพลาด ควรแก้เป็น
cheaper
เทคนิคการทำ "Error Identification"
สำหรับข้อสอบ Error Identification ที่เช็คไวยกรณ์เรื่อง article นั้น ตัวเลือกที่มีความผิดพลาดทางไวยกรณ์ อาจมีลักษณะใด
ลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ใช้ article a หน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียงสระ เช่น a hour, a heir, a aunt, etc. (ต้องแก้เป็น an ทั้งหมด)
2. ใช้ article an นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียงพยัญชนะ เช่น an university, an unanimous decision, an human, etc. (ต้องแก้เป็น
a ทั้งหมด)
3. ใช้ article ผิดชนิด กล่าวคือใช้ indefinite article (a,an) แทน definite article (the) หรือในทางกลับกัน
4. ใช้ article ในปริบทที่ไม่ควรใช้ หรือในที่ที่ควรใช้แต่ไม่ใช้ เช่น
Humans need the water. (ตัด the ทิ้ง เพราะกล่าวถึงนามนับไม่ได้ที่ไม่ชี้เฉพาะ ไม่ต้องมี article นำหน้า)
She likes to play violin. (ต้องใส่ the หน้าชื่อเครื่องดนตรี จึงต้องแก้เป็น the violin)
Eamples :
1. Longevity refers to the span of life of a organism.
a b c d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ d ถ้าจะให้ถูกไวยกรณ์ต้องแก้เป็น an เพื่อนำหน้าคำนามเสียงสระคือ organism
2. At end of the Civil War, the United State was ready to resume with a roaring surge the westward expansion
a b c
which had been interrupted for four years.
d
คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ a ต้องแก้เป็น At the end เพราะเป็นการชี้เฉพาะ
ประเด็นของ ความผิดพลาดเรื่องกริยาไม่แท้ (verbal or non-finite verb) อาจเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งดังต่อไปนี้
1. ใช้ infinite แทนที่จะใช้ gerund หรือในทางกลับกัน
2. ใช้ present participle (v.-ing) แทนที่จะใช้ past participle (v.3) หรือในทางกลับกัน
3. ใช้รูป verbal แบบผิดๆ เช่น to introducing, to walking
4. ใช้ infinite หรือ gerund หลังคำกริยา (can, may, must, will. Etc.) เช่น can to go
Examples :
1. People complain that the costs of campaigning are so high that only the rich can afford running for office.
a b c d
หลัง v. afford ต้องตามด้วย infinite ดังนั้นคำตอบคือ ข้อ d ซึ่งต้องแก้เป็น to run
2. The Bachelor Club, establishing in 1950, was the first sports center for French bachelors in Florida.
a b c d
คำตอบคือ ข้อ a ต้องแก้เป็น established (v.3)
NOTE :
1. Verbal ที่ตามหลัง preposition ต้องเป็น gerund (v-ing) เช่น without smiling
2. กรณี กริยาต้องการกรรม (transitive verb) มีรูป participle ให้เลือก 2 รูป จะใช้รูป present participle (v-ing) หรือ past
participle (v.3) ให้ดูคำที่ตามมา
• ถ้าตามด้วย by หรือ prepositional phrase จะใช้ v.3 เช่น the bridge built by …….. established in 1950, etc.
• ถ้าตามด้วย noun จะใช้ v-ing เช่น building the house
ประเด็นของความผิดพลาดที่ใช้ทดสอบเรื่อง preposition อาจมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ใส่ preposition เข้าไปในตำแหน่งที่ไม่ควรจะมี หรือ ตัด preposition ทิ้งในตำแหน่งที่ควรจะมี
2. ใช้ preposition ผิดตัว
Examples :
1. Einstein provides us, according to experts in physics, with insights about the universe.
a b c d
คำตอบที่ถูกคือ ข้อ d ต้องแก้เป็น into (insight + into)
2. Candles were mankind’s chief source of illumination since at least 2,000 years.
a b c d
ข้อนี้ใช้ preposition ผิดตัว เราเห็นคำว่า 2,000 years แสดงระยะเวลา (period of time) ฉะนั้นต้องใช้ for แทน since ใน
choice ข้อ c
3. Some of the most of spectacular waterfalls in the easter United State are found in the Pocono Mountains of
a b c d
Pennsylvania.
ข้อนี้ใช้ preposition ในที่ที่ไม่ควรใช้ คือ ข้อ b ต้องตัด of ทิ้งไป เพราะในที่นี้ต้องการแสดงการเปรียบเทียบขั้นสูงสุด the most
spectacular
ลักษณะความผิดพลาดทางไวยกรณ์เรื่อง word order คือ มีคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป เรียงลำดับแบบสลับที่ผิดๆที่พบบ่อยๆใน
ข้อสอบมีดังนี้
Examples:
1. It estimated is that only about thirty percent of our planet’s surface consists of land.
a b c d
คำตอบคือ ข้อ a ซึ่งมีการเรียงลำดับคำผิด ต้องแก้เป็น is estimated
2. About two thousand years ago, Arabians in Persia began to craft clay pots, an innovation that accompanied
a b
the appearance of agriculture in the area central of the continent.
c d
คำตอบคือข้อ d ซึ่งมีการเรียงลำดับคำผิด ต้องแก้เป็น central area (adjective ต้องอยู่หน้า noun)
3. Plutonium is a rare extremely and precious element.
a b c d
คำตอบคือข้อ b ซึ่งมีการเรียงลำดับผิด ต้องแก้เป็น extremely rare (adverb ต้องอยู่หน้า adjective)
เฉลยแบบฝึกหัด Conjunction
เฉลยแบบฝึกหัด |
1. either |
2. and |
3. not only...but also |
4. so |
5. until |
6. as well as |
7. but |
8. because |
9. either...or |
10. and |
11. because |
12. and |
13. not only...but also |
14. because |
15. as well as |
แบบฝึกหัด conjunction พร้อม เฉลย By KPN
แบบฝึกหัด |
จงเติม conjunction ที่เห็นว่าถูกต้องที่สุดลงในช่องว่างต่อไปนี้ คำที่กำหนดให้เติมได้แก่ : and, or, but, as, because |
so, until, either...or, neither...nor, as well as, not noly...but also |
1. .............. he or you are to go to see the lawyer this evening. |
2. A boy.............. a girl are learning English now. |
3. Suchat is..............clever.............. diligent. |
4. She is ill..............she goes to hospital. |
5. They nust wait..............their parents return here. |
6. Prachuab..............his friends is doing his exercises. |
7. Although he is a fool..............he is honest to everybody. |
8. He is punished..............he was absent for school yesterday. |
9. ..............Sak..............his relatives are working in the field. |
10. Rice.............. curry is very nice food for Thais. |
11. We like him..............he is honest. |
12. You..............I are a student of English. |
13. Suphat is..............writing.............. speaking. |
14. Danai doesn't do his homework..............he is very lazy. |
15. She her nother goes to the temple on Sundays. |
Conjunction 2
Neither...nor แปลว่า "ไม่ทั้งสอง" ใช้สำหรับปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ถ้าไปควบประธาน 2 ตัว จะใช้กริยาเอกพจน์หรือ |
พหูพจน์นั้น ต้องถือตามประธานตัวหลังเช่นเดียวกัน เช่น |
Neither her friends nor she speaks Chinese. ทั้งเพื่อนของเธอและเธอไม่พูดภาษาจีน |
Neither you nor he studies mathematics. ทั้งคุณและเขาไม่ได้เรียนคณิตศาสตร์ เป็นต้น |
as well as แปลว่า "เช่นเดียวกันกับ" เมื่อไปควบประธาน 2 ตัว จะใช้กริยาเป็นพจน์อะไรนั้นสำหรับตัวนี้ต้องถือเอาตาม ประธานที่อยู่ ข้างหน้า เช่น |
Manop as well as his friends is playing football. มานพก็เช่นเดียวกันกับเพื่อนของเขากำลังเล่นฟุตบอล |
He as well as I is sick. เขาก็เช่นเดียวกันกับผมไม่สบาย เป็นต้น |
Not only...but also แปลว่า "ไม่เพียงแต่...เท่านั้น แต่ยัง อีกด้วย" เราใช้สันธานวลีคำนี้ เพื่อเน้นน้ำหนักของข้อความ |
ทั้งสองอย่างให้เด่นชัดขึ้นแต่สิ่งที่นำมาให้ ใช้หรือกล่าวถึงนั้น ต้องมีความสามารถไปทางเดียวกัน เช่น ดีก็ดีด้วยกัน เช่น |
Malisa is not beautiful but also clever. มาลิสาไม่เพียงแต่สวยเท่านั้น แต่ยังฉลาดอีกด้วย |
Wichai is not only stupid but also lazy. วิชัยไม่ใช่เพียงแต่โง่เท่านั้น แต่ยังขี้เกียจอีกด้วย |
not only.......but also "อนึ่งถ้า" ไปใช้เชื่อมประธาน 2 ตัว จะใช้กริยาเป็นพจน์อะไรนั้นต้องถือตามประธานตัวหลัง |
Not only your friends but also your sister wants to see the cinema tonight. |
ไม่เพียงแต่เพื่อนของท่านเท่านั้น แต่น้องสาวของท่านด้วยที่ต้องการไปดูหนังคืนนี้ |
Not only I but also my friends are studying English every day. |
ไม่เพียงแต่ผมเท่านั้น แต่เพื่อนของผมอีกด้วยที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษทุก ๆ วัน |
Conjunction
Conjunction คือคำเชื่อมประโยค ได้แก่
and(
และ) ใช้เชื่อมข้อความคล้อยตาม กันสอดคล้องกันหรือเป็นไปทำนองเดียวกัน เช่น We eat with fork and a spoon. Tina and Tom are playing football. or (
หรือ) ใช้เชื่อมข้อความเพื่อเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น Is your house big or small? Would you like tea or coffee? but (
แต่) ใช้เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน เช่น That house is beautiful but very expensive. I can ride a bicycle but I can't ride a horse. because(
เพราะว่า) ใช้เชื่อมข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลกันโดยbecauseจะนำหน้าประโยคที่เป็น สาเหตุ I like my sister because she is pretty. She can pass the exam because she studies hard. so(
ดังนั้น) ใช้เชื่อมข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลกันโดยsoจำนำหน้าประโยคที่เป็นผล Cathy eats a lot so she is fat. My sister is pretty so I like her. though/although(
แม้ว่า) ใช้เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน Although he ran very fast, he didn't win the first prize. either....or(
เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งใน2อย่าง) ถ้านำมาเชื่อมประโยคในส่วนที่เป็นประธานจะ ใช้คำกริยาตามประธานตัวหลัง เช่น Either you or he is wrong. You can get either this pen or that pencil. neither .......nor(
ไม่ทั้ง2อย่าง) ถ้านำมาเชื่อมประโยคในส่วนที่เป็นประธานจะ ใช้คำกริยาตามประธานตัวหลัง เช่น Neither I nor she speaks English.
Conjunction
และแล้ว
เมื่อพูดถึงตัวเชื่อมแ น่นอนต้องนึกถึง
ถือเป็น Grammarตัวหนึ่งที่มีความสำคัญมากต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ ว่ามันทำหน ้าที่เป็นเพียงแค่ไวยากรณ์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังจะช่วยให้เราสามารถพัฒนา ทักษะการอ่านและการเขียนได้เป็นอย่างดี Grammarman ก็หยิบยกเอามาเขียนอีกจนได้ ดีมั๊ยคะ 2 แบบ 1.
การเชื่อมความ คือ การเชื่อม ประโยค กับ ประโยค 2.
มาพูดถึงการเชื่อมทั้ง
การเลือกตัวเชื่อมมีหลายวิธีด้วยกัน อาจเลือกจากความหมายของประโยค เชื่อมเพื่อลำดับเวลา และ อะไรพรรค์นั้น
การเชื่อมคำ คือ การเชื่อม ประโยคหรือคำ กับ คำ 2 แบบกันเลย (มันหมายความว่าไงเนี่ย) ตัวเชื่อมประโยคที่เน้นความหมายแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม เช่น
-
ประโยคบอกความคล้อยตามกัน หรือ เสริมความเพิ่มเติม จะใช้ and (
besides (
as well as (
furthermore (
both ... and (
not only ... but also (
in addition (
moreover (
-
และ) นอกจาก) และ , เช่นเดียวกันกับ) ยิ่งไปกว่านั้น) ทั้ง ... และ) ไม่เพียงแต่ ... แต่ยัง) และ) ยิ่งไปกว่านั้น) ประโยคบอกความขัดแย้ง จะใช้ although / though , even though , even if (
however (
but (
still (
yet (
nonetheless , nevertheless (
no matter what (
no matter how (
-
ถึงแม้ว่า) อย่างไรก็ตาม) แต่) ยังคง) แต่กระนั้น) แต่กระนั้นก็ตาม) ไม่ว่าอะไรก็ตาม) ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม) ประโยคที่ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ใช้ either...or (
-
ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง) , neither...nor (ไม่ทั้งคู่) ประโยคบอกเหตุ ใช้ because , as , since , for (
-
เพราะว่า , เนื่องจาก) ประโยคบอกผล ใช้ so , therefore , thus , hence , thereby , accordingly , consequently (
-
ดังนั้น) ประโยคบอกวัตถุประสงค์ ใช้ in order that , so that (
เพื่อที่ว่า) พวกที่เขียนมาทั้งหมดนี้เป็นการเชื่อมความ คือ
เชื่อมประโยคกับประโยค มาดูการเชื่อม
ประโยค กับ คำ หรือ กลุ่มคำ บ้าง -
กลุ่มคำที่แสดงความขัดแย้ง ใช้ despite , in spite of (
-
แม้ว่า) กลุ่มคำที่ใช้บอกเหตุ ใช้ due to , owing to , as a result of , on account of , because of , thanks to (
-
เพราะว่า , เนื่องจาก) กลุ่มคำที่บอกตัวอย่าง ใช้ such as (
-
เช่น) กลุ่มคำที่ใช้บอกวัตถุประสงค์ ใช้ in order to , so as to (
เพื่อที่จะ) ในตอนนี้แค่เกริ่นนำคร่าวๆ ก่อนนะคะ ในตอนหน้าเราจะมาเจาะลึกรายละเอียดกัน
1.
นี่จึงจะถือว่าเป็น
ตัวเชื่อมความ คือ ตัวเชื่อมที่เชื่อมระหว่าง ประโยค กับ ประโยค Conjunction (ตัวเชื่อม) ของแท้ S + v + Conjunction + S + V (
ประโยค + ตัวเชื่อม + ประโยค) 2.
นี่เค้าเรียกว่า
ตัวเชื่อมคำ คือ ตัวเชื่อมที่เชื่อมระหว่าง ประโยค กับ คำ หรือ คำ กับ คำ Preposition (บุพบท) นะตัว ต้องดูให้ดี S + V + Prep. + n./obj. / pro. / V.ing (
ประโยค + บุพบท + คำนาม/กรรม/คำสรรพนาม/ กิริยานาม) ตัวเชื่อมใช้เลือกใช้ตามความหมาย แบ่งเป็นกลุ่มๆ
1.
ตัวเชื่อมบอกความคล้อยตาม หรือ เสริมความเพิ่มเติมข้อมูล ม้กจะมีความหมายเหมือนคำว่า
U"and"U แปลว่า U"และ"U เวลาใช้ต้องใช้หลักการคู่ขนาน (Parallelism)ด้วยทุกครั้ง คือ ถ้าหน้า and เป็น noun หลัง and ก็ต้องเป็น noun แน่นอน หรือ หน้า and เป็น adj. หลัง and ก็ต้องเป็น adj. ในกลุ่มนี้มี
Besides (
Moreover (
Furthermore (
In addition (
นอกจากนี้) ยิ่งไปกว่านั้น) ยิ่งไปกว่านั้น) ยิ่งไปกว่านั้น) พวกนี้จะตามด้วยประโยค
Not only ... but also (
Both ... and ... (
... and ... ( ...
... as well as ... ( ...
( + S + V.) ไม่เพียงแต่ ... แต่ยัง ...) ทั้ง ... และ...) และ ...) และ ...) พวกนี้ใช้หลัก
Parallelism ตัวอย่าง
I don't want to go shopping;besides,I haven't got any money.
ฉันไม่อยากไปช้อปเลย นอกจากนี้ฉันก็ยังไม่มีตังค์อีก
เขียนได้อีกแบบนึง
I don't want to go shopping. Besieds,I haven't got any money.
Not only Mr.White but also Mr.Bean takes in charge of this job.
ไม่เพียงแต่คุณไวท์เท่านั้นที่ควบคุมงานนี้แต่คุณบีนก็ด้วย
Jenny works as a translator as well as a teacher.
เจนนี่เธอเป็นทั้งนักแปลและครูด้วย
หมายเหตุ
Moreover , Furthermore , still ,yet , however
และ nevertheless มีวิธีการเขียนอยู่ 2 แบบ เมื่อไปเจอการใช้ไม่เหมือนกันก็อย่าไปงงกับมัน S + V ; .......... , S + V
S + V . .......... , S + V
2.
ประโยคบอกความขัดแย้ง กลุ่มนี้มีความหมายเหมือน U"but" แปลว่า "แต่"U While , Although , Though , Eventough , Even if , But
Still,
แต่กระนั้นก็ตาม Yet,
แต่กระนั้นก็ตาม However,
Nevertheless,
Nonetheless,
No matter what
ไม่ว่าอะไรก็ตาม No matter how
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม + S + V , S + V
ตัวเชื่อมพวกนี้สามารถวางขึ้นต้นประโยคหรือกลางประโยคก็ได้
ตัวอย่าง
Although he wore dirty clothes , he was a rich man.
หรือ He was a rich man although he wore dirty clothes.
ถึงแม้ว่าเขาจะสวมเสื้อผกสกปรกแต่เขาเป็นคนมีตังค์นะ
He never listens no matter what I say.
เขาไม่เคยรับฟังอะไรก็ตามที่ฉันพูดเลย
แต่ถ้าหลังตัวเชื่อมเป็นกลุ่มคำเราต้องเปลี่ยนมาใช้
preposition ในกรณีที่ต้องการความขัดแย้ง ค่ะ S + V + despite / in spite of + N / V.ing
เช่น
Despite having just a little money , we enjoy our life. ถึงแม้จะมีตังค์เพียงน้อยนิด แต่พวกเราก็มีความสุขกันได้
3.
ประโยคให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง Either ... or ....
Neither .... nor ....
หรือ .... (ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง) ไม่ทั้ง .... และ ....(ไม่ทั้งคู่) ตัวอย่าง
You can ask either Nid or Nee to go with you.
คุณจะขอให้นิดหรือไม่ก็นีไปกับคุณก็ได้
Neither my mom nor I like Somtum.
ทั้งแม่และฉันต่างก็ไม่กินส้มตำ
. ปัฉฉิมลิขิต อย่าลืมหลัก
4.
Paralellism นะคะ ประโยคบอกเหตุ ทั้งหมดแปลว่า U"เพราะ , เนื่องจาก"U S + V (
ผล) + because,since,for + S + V (เหตุ). ตัวอย่าง
We have to work harder because/as/since/for we need more money.
พวกเราจำเป็นต้องทำงานหนักมากกว่าเดิมเพราะว่าอย่างได้เงินเยอะๆ
เราสามารถย้ายตัวเชื่อมได้ เพราะมันสามารถวางขึ้นต้นประโยคหรือกลางประโยคก็ได้
แต่ต้องระวังให้ดีเวลาย้ายตัวเชื่อมนะคะ ต้องให้ตัวเชื่อมอยู่หน้าประโยคบอกเหตุเสมอ
ย้ำ ตัวเชื่อมพวกนี้ต้องตามด้วยประโยคเสมอ เพราะเป็นตัวเชื่อมที่เชื่อมระหว่า ประโยค กับ ประโยค
มาดูตัวเชื่อมที่ใช้เชื่อมระหว่างประโยคกับกลุ่มคำ กับบ้าง
due to / owing to / because of / as a result of / on account of / thanks to + V.ing / Noun (
สาเหตุ) ตัวอย่าง
Owing to the bad weather,the match was cancelled.
เนื่องจากสภาพอากาศที่แย่ การแข่งขันฟุตบอลจึงถูกยกเลิกไป
Our flight was delayed on account of bad weather.
เที่ยวบินพวกเราต้องถูกงดเพราะสภาพอากาศไม่เป็นใจ
ตัวเชื่อมสามารถวางไว้ต้นประโยคได้ แต่ต้องมีกลุ่มคำหรือคำตามหลังเสมอ
5.
ประโยคบอกผล แปลว่า U"ดังนั้น"U So / Therefore, / Thus, / Hence, / Thereby, / Accordingly, / Consequently, + S + V. (
ผล) ตัวอย่าง
The traffic was very heavy and as a result I arrived late.
เป็นเพราะการจราจรติดขัด
Our new home is very nice ; therefore,we are very happy.
(เหตุ)ฉัน จึงมาสาย (ผล) 6.
ประโยคบอกวัตถุประสงค์ แปลว่า U"เพื่อที่ว่า"U S + V + in order that / so that + S + Modal verb (can,could) + V.inf
ตัวอย่าง
We get up early in order that we could catch the bus.
พวกเราตื่นเช้าเพื่อที่ว่าพวกเราจะไ ด้ทันรถประจำทาง
She wore glassed so that nobody could recognize her.
เธอสวมใส่แว่นเพื่อที่ว่าจะไม่มีใครจำเธอได้
หรือ อาจจะใช้เชื่อมกับกลุ่มคำ ก็ได้
S + V + in order to / so as to + V.inf
ตัวอย่าง
She travelled by train in order to / so as to avoid the traffic.
เธอเดินทางโดยรถไฟเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจร
7.
(การจราจรอาจติดขัด) ประโยคบอกตัวอย่าง S + V. For example , S + V. (
ตัวอย่าง) ตัวอย่าง
There are many way to keep yourself fit. For example,you should exercise at least 30 minutes a day.
มีหลายวิธีที่จะทำให้คุณหุ่นดี ตัวอย่างเช่น คุณต้องออกกำลังการอย่างน้อยวันละ
หรืออาจจะเป็นตัวเชื่อม กับ กลุ่มคำหรือคำ
30 นาที S + V + such as + noun / phrase
ตัวอย่าง
Fatty foods such as chips are bad for you.
อาหารมันๆเช่น มันฝรั่งทอดไม่ดีต่อสุขภาพของคุณ
8.
ประโยคที่บอกปริมาณ ในความหมายที่ว่า ........ มาก เสียจนกระทั่ง S + V + so + adj/adv. + that + S + V.
S + V + such + noun + that + S + V.
Tip
วีธีการสังเกต such
ส่วน
เป็นคำ adj. ต้องอยู่ข้างหน้า noun เสมอ จำแค่นี้แหละ so ก็ใช้ตามวิธีในสูตร ก็แล้วกัน ตัวอย่าง
The teacher speaks so cleary that we understand everything.
คุณครูพูดได้ชัดเจนแจ่มแจ้งมากจนกระทั้งพวกเราเข้าใจหมดทุกอย่างเลย
He is such an annoying man that we avoid talking with him.
เขาเป็นคนน่ารำคาญมากเสียจนกระทั่งพวกเราหลีกเลี่ยงที่จะพูดกับเขา
หรืออาจใช้เป็นตัวเชื่อมคำ
S + V + too + adj/adv. + to + V.inf
ตัวอย่าง
แปลว่า มากเกินไป He walks too slowly to arrive on time.
เขาเดินช้ามากเกินไปเลยไปถึงไม่ตรงเวลา
Tip
on time
หมายถึง บนจุดของเวลา เมื่อเราใช้ on time จะมีความหมายว่า ตรงเวลา in time
ออกนอกเรื่องอีกแล้ว
หรือ
หมายถึง ในช่วงของเวลา เมื่อเราใช้ in time จะมีความหมายเหมือน ทันเวลา , ภายในเวลาที่กำหนด S + V + adj/adv. + enough to + V.inf แปลว่า เพียงพอที่จะ... ตัวอย่าง
This lady is rich enough to buy this castle.
ท่านผู้หญิงคนนี้รวยพอที่จะซื้อประสาทแห่งนี้
ระวัง ตกหลุม
เมื่อมีแค่
เมื่อมี
เมื่อมี
เมื่อมี
Oops! ไม่ใช่ 1 ประโยค ไม่สามารถใช้ Conjunction ได้ แต่ สามารถ ใช้ Preposition ได้ นะ 2 ประโยค สามารถใช้ Conjunction ได้เพียงแค่ตัวเดียวเ ท่านั้น 3 ประโยค สามารถใช้ Conjunction ได้เพียงแค่ 2 ตัวเท่านั้น 4 ประโยค ........................................(มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก) บางทีเราอาจเผลอใช้ตัวเชื่อมแบบการแปลจากภาษาไทยซึ่งมักจะใส่ตัวเชื่อมหลายตัว เช่น
เพราะเขาขาดความเชื่อมันในตัวเอง เขาจึงไม่ประสบความสำเร็จ
ถ้าถอดเป็นภาษาอังกฤษก็จะได้ว่า
Because he lacks of self-confidence , so he can't be successful.
เขียนแบบนี้ถือว่าผิดค่ะ ต้องเลือกเอาตัวเชื่อมตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น
เช่น
Because he lacks of self-confidence , he can't be successful.
หรือ He lacks of self-confidence so he can't be successful.
ตัวเชื่อมทั้งหมดที่กล่าวมาตั้งแต่ตอนแรกเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีตัวเชื่อมอีกเยอะแยะ มากมายที่รอคอยให้เราไปทำความรู้จักกับมันอยู่ค่ะ อย่าปล่อยให้มันเหงานะ
ลองทบทวนทั้งหมดดูอีกครั้ง คุณอาจจะเข้าใจมากขึ้นค่ะ Conjunction คืออะไร? ชนิดของ Conjunction | |
Conjunction คือ คำที่ใช้เชื่อมระหว่างประโยคต่อประโยค คำต่อคำ หรือระหว่างกริยาต่อกริยา เช่น | |
ประโยคต่อประโยค | I study English, but he studies French. |
ฉันเรียนภาษาอังกฤษ แต่เขาเรียนภาษาฝรั่งเศส | |
คำนามต่อนาม | A boy and a girl are dancing. |
เด็กชายและเด็กหญิงกำลังเต้นรำ | |
กริยาต่อกริยา | He comes and stays with me at home. |
เขามาพักอยู่กับฉันที่บ้าน เป็นต้น | |
Conjunction แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ | |
1. Conjunction คำเดียว (Single Conjuncton) | |
2. Conjunction วลีหรือผสม (Conjunction Phrase) | |
1. Conjunction คำเดียวที่พบเห็นบ่อย ๆ และใช้กันแพร่หลายมีดังต่อไปนี้ | |
and,or,but,so,as,because,for,whether,until,after,before,if,though,that,when, besides เช่น | |
We study in the morning and play in the afternoon. | |
He is sick so he goes to see a doctor. | |
เขาไม่สบาย ดังนั้นเขาจึงไปหาหมอ ฯลฯ เป็นต้น | |
2. Conjunction วลีหรือ conjunction ผสมที่พบเห็นบ่อย ๆ ได้แก่คำต่อไปนี้ คือ | |
either.....or ไม่อันใดก็อันหนึ่ง | |
neither.....nor ไม่ทั้งสอง | |
as well as เช่นเดียวกันกับ | |
not only.....but also ไม่เพียงแต่.....เท่านั้น | |
แต่อีกด้วย ทั้งหมดจะได้อธิบายเป็นรายตัว ดังต่อไปนี้ | |
Either...or แปลว่า ไม่อันใดก็อันหนึ่ง ใช้สำหรับให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไปควบประธาน 2 ตัว จะใช้ | |
กริยาเป็นรูป เอกพจน์หรือพหูพจน์นั้นต้องถือตามประธานตัวหลัง เช่น | |
Either you or he is punished tonight. ไม่คุณก็เขาถูกลงโทษคืนนี้ | |
Either he or I am mistaken. ไม่เขาก็ผมเป็นผู้ผิด เป็นต้น |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)