วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Conjunction

 
Conjunction คือคำเชื่อมประโยค ได้แก่
and(
และ) ใช้เชื่อมข้อความคล้อยตาม กันสอดคล้องกันหรือเป็นไปทำนองเดียวกัน เช่น We eat with fork and a spoon. Tina and Tom are playing football.
or (
หรือ) ใช้เชื่อมข้อความเพื่อเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น Is your house big or small? Would you like tea or coffee?
but (
แต่) ใช้เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน เช่น That house is beautiful but very expensive. I can ride a bicycle but I can't ride a horse.
because(
เพราะว่า) ใช้เชื่อมข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลกันโดยbecauseจะนำหน้าประโยคที่เป็น สาเหตุ I like my sister because she is pretty. She can pass the exam because she studies hard.
so(
ดังนั้น) ใช้เชื่อมข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลกันโดยsoจำนำหน้าประโยคที่เป็นผล Cathy eats a lot so she is fat. My sister is pretty so I like her.
though/although(
แม้ว่า) ใช้เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน Although he ran very fast, he didn't win the first prize.
either....or(
เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งใน2อย่าง) ถ้านำมาเชื่อมประโยคในส่วนที่เป็นประธานจะ ใช้คำกริยาตามประธานตัวหลัง เช่น Either you or he is wrong. You can get either this pen or that pencil.
neither .......nor(
ไม่ทั้ง2อย่าง) ถ้านำมาเชื่อมประโยคในส่วนที่เป็นประธานจะ ใช้คำกริยาตามประธานตัวหลัง เช่น
Neither I nor she speaks English.
Conjunction
และแล้ว
เมื่อพูดถึงตัวเชื่อมแ น่นอนต้องนึกถึง
ถือเป็น Grammarตัวหนึ่งที่มีความสำคัญมากต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ ว่ามันทำหน ้าที่เป็นเพียงแค่ไวยากรณ์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังจะช่วยให้เราสามารถพัฒนา ทักษะการอ่านและการเขียนได้เป็นอย่างดี Grammarman ก็หยิบยกเอามาเขียนอีกจนได้ ดีมั๊ยคะ 2 แบบ
1.
การเชื่อมความ คือ การเชื่อม ประโยค กับ ประโยค
2.
มาพูดถึงการเชื่อมทั้ง
การเลือกตัวเชื่อมมีหลายวิธีด้วยกัน อาจเลือกจากความหมายของประโยค เชื่อมเพื่อลำดับเวลา และ อะไรพรรค์นั้น
การเชื่อมคำ คือ การเชื่อม ประโยคหรือคำ กับ คำ 2 แบบกันเลย (มันหมายความว่าไงเนี่ย)
ตัวเชื่อมประโยคที่เน้นความหมายแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม เช่น
-
ประโยคบอกความคล้อยตามกัน หรือ เสริมความเพิ่มเติม จะใช้
and (
besides (
as well as (
furthermore (
both ... and (
not only ... but also (
in addition (
moreover (
-
และ) นอกจาก) และ , เช่นเดียวกันกับ) ยิ่งไปกว่านั้น) ทั้ง ... และ) ไม่เพียงแต่ ... แต่ยัง) และ) ยิ่งไปกว่านั้น) ประโยคบอกความขัดแย้ง จะใช้
although / though , even though , even if (
however (
but (
still (
yet (
nonetheless , nevertheless (
no matter what (
no matter how (
-
ถึงแม้ว่า) อย่างไรก็ตาม) แต่) ยังคง) แต่กระนั้น) แต่กระนั้นก็ตาม) ไม่ว่าอะไรก็ตาม) ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม) ประโยคที่ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ใช้
either...or (
-
ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง) , neither...nor (ไม่ทั้งคู่) ประโยคบอกเหตุ ใช้
because , as , since , for (
-
เพราะว่า , เนื่องจาก) ประโยคบอกผล ใช้
so , therefore , thus , hence , thereby , accordingly , consequently (
-
ดังนั้น) ประโยคบอกวัตถุประสงค์ ใช้
in order that , so that (
เพื่อที่ว่า)
พวกที่เขียนมาทั้งหมดนี้เป็นการเชื่อมความ คือ
เชื่อมประโยคกับประโยค
มาดูการเชื่อม
ประโยค กับ คำ หรือ กลุ่มคำ บ้าง
-
กลุ่มคำที่แสดงความขัดแย้ง ใช้
despite , in spite of (
-
แม้ว่า) กลุ่มคำที่ใช้บอกเหตุ ใช้
due to , owing to , as a result of , on account of , because of , thanks to (
-
เพราะว่า , เนื่องจาก) กลุ่มคำที่บอกตัวอย่าง ใช้
such as (
-
เช่น) กลุ่มคำที่ใช้บอกวัตถุประสงค์ ใช้
in order to , so as to (
เพื่อที่จะ)
ในตอนนี้แค่เกริ่นนำคร่าวๆ ก่อนนะคะ ในตอนหน้าเราจะมาเจาะลึกรายละเอียดกัน
1.
นี่จึงจะถือว่าเป็น
ตัวเชื่อมความ คือ ตัวเชื่อมที่เชื่อมระหว่าง ประโยค กับ ประโยค Conjunction (ตัวเชื่อม) ของแท้
S + v + Conjunction + S + V (
ประโยค + ตัวเชื่อม + ประโยค)
2.
นี่เค้าเรียกว่า
ตัวเชื่อมคำ คือ ตัวเชื่อมที่เชื่อมระหว่าง ประโยค กับ คำ หรือ คำ กับ คำ Preposition (บุพบท) นะตัว ต้องดูให้ดี
S + V + Prep. + n./obj. / pro. / V.ing (
ประโยค + บุพบท + คำนาม/กรรม/คำสรรพนาม/ กิริยานาม)
ตัวเชื่อมใช้เลือกใช้ตามความหมาย แบ่งเป็นกลุ่มๆ
1.
ตัวเชื่อมบอกความคล้อยตาม หรือ เสริมความเพิ่มเติมข้อมูล
ม้กจะมีความหมายเหมือนคำว่า
U"and"U แปลว่า U"และ"U เวลาใช้ต้องใช้หลักการคู่ขนาน (Parallelism)ด้วยทุกครั้ง คือ ถ้าหน้า and เป็น noun หลัง and ก็ต้องเป็น noun แน่นอน หรือ หน้า and เป็น adj. หลัง and ก็ต้องเป็น adj.
ในกลุ่มนี้มี
Besides (
Moreover (
Furthermore (
In addition (
นอกจากนี้) ยิ่งไปกว่านั้น) ยิ่งไปกว่านั้น) ยิ่งไปกว่านั้น)
พวกนี้จะตามด้วยประโยค
Not only ... but also (
Both ... and ... (
... and ... ( ...
... as well as ... ( ...
( + S + V.) ไม่เพียงแต่ ... แต่ยัง ...) ทั้ง ... และ...) และ ...) และ ...)
พวกนี้ใช้หลัก
Parallelism
ตัวอย่าง
I don't want to go shopping;besides,I haven't got any money.
ฉันไม่อยากไปช้อปเลย นอกจากนี้ฉันก็ยังไม่มีตังค์อีก
เขียนได้อีกแบบนึง
I don't want to go shopping. Besieds,I haven't got any money.
Not only Mr.White but also Mr.Bean takes in charge of this job.
ไม่เพียงแต่คุณไวท์เท่านั้นที่ควบคุมงานนี้แต่คุณบีนก็ด้วย
Jenny works as a translator as well as a teacher.
เจนนี่เธอเป็นทั้งนักแปลและครูด้วย
หมายเหตุ
Moreover , Furthermore , still ,yet , however
และ nevertheless มีวิธีการเขียนอยู่ 2 แบบ เมื่อไปเจอการใช้ไม่เหมือนกันก็อย่าไปงงกับมัน
S + V ; .......... , S + V
S + V . .......... , S + V
2.
ประโยคบอกความขัดแย้ง กลุ่มนี้มีความหมายเหมือน U"but" แปลว่า "แต่"U
While , Although , Though , Eventough , Even if , But
Still,
แต่กระนั้นก็ตาม
Yet,
แต่กระนั้นก็ตาม
However,
Nevertheless,
Nonetheless,
No matter what
ไม่ว่าอะไรก็ตาม
No matter how
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
+ S + V , S + V
ตัวเชื่อมพวกนี้สามารถวางขึ้นต้นประโยคหรือกลางประโยคก็ได้
ตัวอย่าง
Although he wore dirty clothes , he was a rich man.
หรือ
He was a rich man although he wore dirty clothes.
ถึงแม้ว่าเขาจะสวมเสื้อผกสกปรกแต่เขาเป็นคนมีตังค์นะ
He never listens no matter what I say.
เขาไม่เคยรับฟังอะไรก็ตามที่ฉันพูดเลย
แต่ถ้าหลังตัวเชื่อมเป็นกลุ่มคำเราต้องเปลี่ยนมาใช้
preposition ในกรณีที่ต้องการความขัดแย้ง ค่ะ
S + V + despite / in spite of + N / V.ing
เช่น
Despite having just a little money , we enjoy our life.
ถึงแม้จะมีตังค์เพียงน้อยนิด แต่พวกเราก็มีความสุขกันได้
3.
ประโยคให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
Either ... or ....
Neither .... nor ....
หรือ .... (ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง) ไม่ทั้ง .... และ ....(ไม่ทั้งคู่)
ตัวอย่าง
You can ask either Nid or Nee to go with you.
คุณจะขอให้นิดหรือไม่ก็นีไปกับคุณก็ได้
Neither my mom nor I like Somtum.
ทั้งแม่และฉันต่างก็ไม่กินส้มตำ
.
ปัฉฉิมลิขิต อย่าลืมหลัก
4.
Paralellism นะคะ ประโยคบอกเหตุ ทั้งหมดแปลว่า U"เพราะ , เนื่องจาก"U
S + V (
ผล) + because,since,for + S + V (เหตุ).
ตัวอย่าง
We have to work harder because/as/since/for we need more money.
พวกเราจำเป็นต้องทำงานหนักมากกว่าเดิมเพราะว่าอย่างได้เงินเยอะๆ
เราสามารถย้ายตัวเชื่อมได้ เพราะมันสามารถวางขึ้นต้นประโยคหรือกลางประโยคก็ได้
แต่ต้องระวังให้ดีเวลาย้ายตัวเชื่อมนะคะ ต้องให้ตัวเชื่อมอยู่หน้าประโยคบอกเหตุเสมอ
ย้ำ ตัวเชื่อมพวกนี้ต้องตามด้วยประโยคเสมอ เพราะเป็นตัวเชื่อมที่เชื่อมระหว่า ประโยค กับ ประโยค
มาดูตัวเชื่อมที่ใช้เชื่อมระหว่างประโยคกับกลุ่มคำ กับบ้าง
due to / owing to / because of / as a result of / on account of / thanks to + V.ing / Noun (
สาเหตุ)
ตัวอย่าง
Owing to the bad weather,the match was cancelled.
เนื่องจากสภาพอากาศที่แย่ การแข่งขันฟุตบอลจึงถูกยกเลิกไป
Our flight was delayed on account of bad weather.
เที่ยวบินพวกเราต้องถูกงดเพราะสภาพอากาศไม่เป็นใจ
ตัวเชื่อมสามารถวางไว้ต้นประโยคได้ แต่ต้องมีกลุ่มคำหรือคำตามหลังเสมอ
5.
ประโยคบอกผล แปลว่า U"ดังนั้น"U
So / Therefore, / Thus, / Hence, / Thereby, / Accordingly, / Consequently, + S + V. (
ผล)
ตัวอย่าง
The traffic was very heavy and as a result I arrived late.
เป็นเพราะการจราจรติดขัด
Our new home is very nice ; therefore,we are very happy.
(เหตุ)ฉัน จึงมาสาย (ผล)
6.
ประโยคบอกวัตถุประสงค์ แปลว่า U"เพื่อที่ว่า"U
S + V + in order that / so that + S + Modal verb (can,could) + V.inf
ตัวอย่าง
We get up early in order that we could catch the bus.
พวกเราตื่นเช้าเพื่อที่ว่าพวกเราจะไ ด้ทันรถประจำทาง
She wore glassed so that nobody could recognize her.
เธอสวมใส่แว่นเพื่อที่ว่าจะไม่มีใครจำเธอได้
หรือ อาจจะใช้เชื่อมกับกลุ่มคำ ก็ได้
S + V + in order to / so as to + V.inf
ตัวอย่าง
She travelled by train in order to / so as to avoid the traffic.
เธอเดินทางโดยรถไฟเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจร
7.
(การจราจรอาจติดขัด) ประโยคบอกตัวอย่าง
S + V. For example , S + V. (
ตัวอย่าง)
ตัวอย่าง
There are many way to keep yourself fit. For example,you should exercise at least 30 minutes a day.
มีหลายวิธีที่จะทำให้คุณหุ่นดี ตัวอย่างเช่น คุณต้องออกกำลังการอย่างน้อยวันละ
หรืออาจจะเป็นตัวเชื่อม กับ กลุ่มคำหรือคำ
30 นาที
S + V + such as + noun / phrase
ตัวอย่าง
Fatty foods such as chips are bad for you.
อาหารมันๆเช่น มันฝรั่งทอดไม่ดีต่อสุขภาพของคุณ
8.
ประโยคที่บอกปริมาณ ในความหมายที่ว่า ........ มาก เสียจนกระทั่ง
S + V + so + adj/adv. + that + S + V.
S + V + such + noun + that + S + V.
Tip
วีธีการสังเกต
such
ส่วน
เป็นคำ adj. ต้องอยู่ข้างหน้า noun เสมอ จำแค่นี้แหละ so ก็ใช้ตามวิธีในสูตร ก็แล้วกัน
ตัวอย่าง
The teacher speaks so cleary that we understand everything.
คุณครูพูดได้ชัดเจนแจ่มแจ้งมากจนกระทั้งพวกเราเข้าใจหมดทุกอย่างเลย
He is such an annoying man that we avoid talking with him.
เขาเป็นคนน่ารำคาญมากเสียจนกระทั่งพวกเราหลีกเลี่ยงที่จะพูดกับเขา
หรืออาจใช้เป็นตัวเชื่อมคำ
S + V + too + adj/adv. + to + V.inf
ตัวอย่าง
แปลว่า มากเกินไป
He walks too slowly to arrive on time.
เขาเดินช้ามากเกินไปเลยไปถึงไม่ตรงเวลา
Tip
on time
หมายถึง บนจุดของเวลา เมื่อเราใช้ on time จะมีความหมายว่า ตรงเวลา
in time
ออกนอกเรื่องอีกแล้ว
หรือ
หมายถึง ในช่วงของเวลา เมื่อเราใช้ in time จะมีความหมายเหมือน ทันเวลา , ภายในเวลาที่กำหนด S + V + adj/adv. + enough to + V.inf แปลว่า เพียงพอที่จะ...
ตัวอย่าง
This lady is rich enough to buy this castle.
ท่านผู้หญิงคนนี้รวยพอที่จะซื้อประสาทแห่งนี้
ระวัง ตกหลุม
เมื่อมีแค่
เมื่อมี
เมื่อมี
เมื่อมี
Oops! ไม่ใช่ 1 ประโยค ไม่สามารถใช้ Conjunction ได้ แต่ สามารถ ใช้ Preposition ได้ นะ 2 ประโยค สามารถใช้ Conjunction ได้เพียงแค่ตัวเดียวเ ท่านั้น 3 ประโยค สามารถใช้ Conjunction ได้เพียงแค่ 2 ตัวเท่านั้น 4 ประโยค ........................................(มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก)
บางทีเราอาจเผลอใช้ตัวเชื่อมแบบการแปลจากภาษาไทยซึ่งมักจะใส่ตัวเชื่อมหลายตัว เช่น
เพราะเขาขาดความเชื่อมันในตัวเอง เขาจึงไม่ประสบความสำเร็จ
ถ้าถอดเป็นภาษาอังกฤษก็จะได้ว่า
Because he lacks of self-confidence , so he can't be successful.
เขียนแบบนี้ถือว่าผิดค่ะ ต้องเลือกเอาตัวเชื่อมตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น
เช่น
Because he lacks of self-confidence , he can't be successful.
หรือ
He lacks of self-confidence so he can't be successful.
ตัวเชื่อมทั้งหมดที่กล่าวมาตั้งแต่ตอนแรกเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีตัวเชื่อมอีกเยอะแยะ มากมายที่รอคอยให้เราไปทำความรู้จักกับมันอยู่ค่ะ อย่าปล่อยให้มันเหงานะ

ลองทบทวนทั้งหมดดูอีกครั้ง คุณอาจจะเข้าใจมากขึ้นค่ะ
Conjunction คืออะไร? ชนิดของ Conjunction
Conjunction
คือ คำที่ใช้เชื่อมระหว่างประโยคต่อประโยค คำต่อคำ หรือระหว่างกริยาต่อกริยา เช่น
ประโยคต่อประโยค
I study English, but he studies French.
ฉันเรียนภาษาอังกฤษ แต่เขาเรียนภาษาฝรั่งเศส
คำนามต่อนาม
A boy and a girl are dancing.
เด็กชายและเด็กหญิงกำลังเต้นรำ
กริยาต่อกริยา
He comes and stays with me at home.
เขามาพักอยู่กับฉันที่บ้าน เป็นต้น
Conjunction
แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
1. Conjunction
คำเดียว (Single Conjuncton)
2. Conjunction
วลีหรือผสม (Conjunction Phrase)
1.
Conjunction คำเดียวที่พบเห็นบ่อย ๆ และใช้กันแพร่หลายมีดังต่อไปนี้
and,or,but,so,as,because,for,whether,until,after,before,if,though,that,when, besides
เช่น
We study in the morning and play in the afternoon.
He is sick so he goes to see a doctor.
เขาไม่สบาย ดังนั้นเขาจึงไปหาหมอ ฯลฯ เป็นต้น
2.
Conjunction วลีหรือ conjunction ผสมที่พบเห็นบ่อย ๆ ได้แก่คำต่อไปนี้ คือ
either.....or
ไม่อันใดก็อันหนึ่ง
neither.....nor
ไม่ทั้งสอง
as well as
เช่นเดียวกันกับ
not only.....but also
ไม่เพียงแต่.....เท่านั้น
แต่อีกด้วย ทั้งหมดจะได้อธิบายเป็นรายตัว ดังต่อไปนี้
Either...or
แปลว่า ไม่อันใดก็อันหนึ่ง ใช้สำหรับให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไปควบประธาน 2 ตัว จะใช้
กริยาเป็นรูป เอกพจน์หรือพหูพจน์นั้นต้องถือตามประธานตัวหลัง เช่น
Either you or he is punished tonight.
ไม่คุณก็เขาถูกลงโทษคืนนี้
Either he or I am mistaken.
ไม่เขาก็ผมเป็นผู้ผิด เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น